คำถามกวนๆๆ

คำถามกวนๆ : น้ำอะไรเอ่ย สามารถยืนได้
คำตอบ : น้ำตื้นๆ
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :ทำไมบางคนถึงเจ็บหนังหัว
เฉลย : เพราะผมหยิก
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :เบคแฮมโดนใบแดงแล้วไปไหน
เฉลย : ไปเป็นทหาร
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :เลขอะไรมาก่อน 1 2 3
เฉลย : ก้อ เลข 1 2 2 ไง้
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :มีนกเกาะอยู่บนกิ่งไม้ 3 ตัว นายพรานยิงปืนดังปั้งๆมีนกตัวหนึ่งตกลงมา ตัวหนึ่งบินหนีไป แต่อีกตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่เดิม เพราะอะไร
เฉลย : ตัวหนึ่งตาย อีกตัวไปแจ้งตำรวจ ตัวที่อยู่บนกิ่งไม้คอยเป็นพยาน
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :กาะอะไรมีเสาไฟฟ้าเยอะที่สุด
เฉลย : เกาะกลางถนน
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :อะไรเอ่ย นั่งก็ห้อย ยืนก็ห้อย ร้อยทั้งร้อยเป็นของผู้ชาย
เฉลย : เนคไท
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :แมวอะไรเอ่ยอยู่ในดิน ?
เฉลย : แมวกัน (มันแกว)
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :้าช้างเดินลงมหาสมุทรแปซิฟิก จะเกิดอะไรขึ้น ?
เฉลย : ช้างก้อเปียกดิ
———————————————————————————————————–
คำถามกวนๆ ถามว่า :มดอะไรเอ่ยใหญ่กว่ามดเอ็กซ์
เฉลย : มดเอ็กซ์แอล

ภาษาท่ารำที่แสดงอารมณ์ภายใน

ท่า  รัก ชื่นชม

 

ประสานมือทั้งสองข้างทาบกันระดับฐานไหล่ 

ปลายนิ้วอยู่ตรงฐานไหล่

ข้อศอกห่างจากลำตัวพอสมควร

 

 

 

 

 

ท่า  คิดถึง ยวนใจ ใฝ่ฝัน เอ็นดู

มือทั้งสองประกบฝ่ามือรวมที่อก (ห่อฝ่ามือ กรีดนิ้ว) 

ถ้าแสดงถึงความตกใจ ให้เสริมสีหน้าตกใจ กลัว

 

 

 

 

 

ท่า  เสียใจ

 

ใช้ฝ่ามือซ้ายแตะหน้าผาก  มือขวานางจีบหงายชายพก   

มือขวาพระฝ่ามือแตะด้านซ้าย   แล้วใช้ปลายนิ้วซับน้ำตา 

หมายถึง เสียใจ โอด ไม่สบาย  (โอด ใช้มือซ้าย)

 

 

 

 

 

ท่า  เศร้าโศก

 

ประสานลำแขนส่วนล่างแตะฝ่ามือระดับสะโพก 

หมายถึง ทุกข์ร้อน ไม่สบาย โศกเศร้า

 

 

 

 

 

ท่า  ดุร้าย         

                                         

  ใช้มือใดมือหนึ่งฟาดนิ้วอีกมือหนึ่ง

ตัวนางจีบหลัง ตัวพระเท้าสะเอว 

ศีรษะเอียงตรงข้ามมือฟาดนิ้ว

หมายถึง  ชั่ว ดุร้าย ฉกรรจ์ บังอาจ  ขู่เข็ญ  ไม่น่าดู

ปัญหาเรื่องผมต่างๆๆ

 ปัญหา  สาเหตุ  การแก้ไขของ สเวนสัน
a-space
หนังศีรษะมัน (สภาพผมมัน) – การทำงานที่ผิดปกติของหนังศีรษะ เนื่องมา
  จาก ระดับ DHT สูงกว่าปกติ 
– การสะสมไขมันที่อุดตันในชั้นหนังศีรษะ
1. ควบคุมการผลิตของต่อมไขมันในหนัง
    ศีรษะ
รังแค และ หนังศีรษะแห้ง – ระดับ ยีสต์สูงผิดปกติส่งผลให้หนังศีรษะหลุด
  ลอกก่อนเวลา
1. ควบคุมการทำงานของยีสต์ 
2. ขจัดหนังศีรษะที่ตายและปรับสภาพ การ
    ทำงานของหนังศีรษะ 
3. ปรับสภาพหนังศีรษะให้เป็นกลาง
ผมหลุดร่วงผิดปกติ – การเปลี่ยนแปลงของฮอรโมน์หยุดการเจริญ
  เติบโตของเส้นผมทำให้อ่อนแอและตายลง 
– ปัจจัยภายนอก เนื่องมาจาก ความตึงเครียด 
  สารเคมีหรือ ยาและ การลดความอ้วนอย่าง
  ฉับพลัน
1. การปรับวงจรของสภาพผมเกิดใหม่ 
2. การปลูกผม 
3. เพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและ สาร
    อาหารที่จำเป็น
สภาพผมหลุดร่วงเป็นหย่อม – Auto immune บกพร่องอย่างรวดเร็วจาก
  ความเครียด และ แมลงกัดต่อย
1. สร้างสภาวะสมดุลให้กับ Auto immune 
2. การปลูกและสร้างความแข็งแรงให้เส้นผม
    เกิดใหม่
สภาพผมบางร่นเข้าด้านหน้า – ความผิดปกติของกรรมพันธุ์ เนื่องจาก ความ
  ตึงเครียด และ การดูแลหนังศีรษะที่ไม่ถูกต้อง 
  การลดความอ้วนที่ผิดวิธี และ สุขภาพที่ย้ำแย่ 
– ระดับDHTของหนังศีรษะสูงผิดปกติ
1. ลดระดับการผลิตของ DHT 
2. บำรุงเชลล์รากผมและยึดอายุการเจริญ
    เติบโตของรากผม

ลูกพลัม ลูกไหน ลูกพรุน สรรพคุณและประโยชน์ของลูกพรุน 20 ข้อ

ลักษณะของต้นพลัม

  • ต้นพลัม พลัมเป็นไม้ผลยืนต้น มีลักษณะทรงต้นค่อนข้างเล็กเช่นเดียวกับต้นพีช การปลูกในประเทศไทยต้องปลูกในที่ที่มีความหนาวเย็น และพื้นที่ที่ปลูกจะต้องมีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป แต่สำหรับบางสายพันธุ์อาจปลูกได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[2]

ต้นพลัม

  • ใบพลัม ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก ปลายและโคนใบแหลม แผ่นใบสีเขียว ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อยแบบถี่ๆ

ใบพลัม

  • ดอกพลัม ออกดอกจำนวนมาก ดอกมีขนาดเล็กและมีสีขาว ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ปกติแล้วจะผสมตัวเองไม่ได้ แต่จะต้องผสมข้ามพันธุ์และเฉพาะเจาะจงพันธุ์เท่านั้น และจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธุ์ หลังจากได้รับความหนาวเพียงพอ[2]

ดอกต้นพลัม

ดอกพลัม

  • ลูกพลัม ผลเป็นแบบ Drupe จึงจัดเป็นพวก Stone Fruit คือมีส่วนของ Endocarp ที่แข็งเหมือนกับลูกพืชและบ๊วย และผลจะมีความหลากหลายทั้งในเรื่องของขนาด สีของผล และเนื้อของผล ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เพาะปลูก บางพันธุ์ผลอาจมีร่องยาวด้านข้าง เมื่อผลโตเต็มที่จะมีสีนวลสีขาวปกคลุมอยู่ ซึ่งเราเรียกว่าสารเคลือบ หรือ “Wax Bloom” เนื้อมีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว ด้านในผลมีเมล็ดแข็งอยู่ 1 เมล็ด[2]

ไหน

พลัม

  • เมล็ดพลัม เมล็ดเป็นเมล็ดเดี่ยวและแข็ง เมล็ดมีสีน้ำตาล

เมล็ดพลัม

พลัมสามารถแบ่งตามการใช้ประโยชน์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พลัมชนิดที่ใช้รับทานแบบสดๆ (ลูกพรุนสด) เหมือนผลไม้ทั่วไป ได้แก่พันธุ์กัลฟ์โกล พันธุ์กัลฟ์รูบี้ พันธุ์เหลืองบ้านหลวง และพันธุ์แดงบ้านหลวง และอีกชนิดคือพลัมสำหรับแปรรูป เช่น การนำมาทำเป็นแยมพลัม น้ำลูกพลัม นำมาดอง หรือนำแช่อิ่ม ได้แก่ พันธุ์จูหลี่[2]

คุณค่าทางโภชนาการของลูกพลัม ต่อ 100 กรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการของลูกพรุนอบแห้ง ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 240 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 63.88 กรัม
  • น้ำ 30.92 กรัมลูกพรุน
  • น้ำตาล 38.13 กรัม
  • เส้นใย 7.1 กรัม
  • ไขมัน 0.38 กรัม
  • โปรตีน 2.18 กรัม
  • วิตามินเอ 39 ไมโครกรัม 5%
  • เบต้าแคโรทีน 394 ไมโครกรัม 4%
  • ลูทีน และ ซีแซนทีน 148 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี1 0.051 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี2 0.186 มิลลิกรัม 16%
  • วิตามินบี3 1.882 มิลลิกรัม 13%
  • วิตามินบี5 0.422 มิลลิกรัม 8%
  • วิตามินบี6 0.205 มิลลิกรัม 16%
  • วิตามินบี9 4 ไมโครกรัม 1%
  • โคลีน 10.1 มิลลิกรัม 2%น้ำลูกพรุน
  • วิตามินซี 0.6 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินอี 0.43 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินเค 59.5 ไมโครกรัม 57%
  • ธาตุแคลเซียม 43 มิลลิกรัม 4%
  • ธาตุเหล็ก 0.93 มิลลิกรัม 7%
  • ธาตุแมกนีเซียม 41 มิลลิกรัม 12%
  • ธาตุแมงกานีส 0.299 มิลลิกรัม 14%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 69 มิลลิกรัม 10%
  • ธาตุโพแทสเซียม 732 มิลลิกรัม 16%
  • ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.44 มิลลิกรัม 5%
  • ธาตุฟลูออไรด์ 4 ไมโครกรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ประโยชน์ของลูกพลัม

  1. ประโยชน์ลูกพรุน ช่วยในการชะลอวัย ชะลอความแก่ ป้องกันโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เพราะพรุนเป็นผลไม้ที่มีไขมันต่ำและมีสารอาหารสำคัญสูงอยู่หลายชนิด เช่น วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม[3],[4] ซึ่งกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้ระบุว่าผลไม้ที่ช่วยชะลอความแก่ได้ดีที่สุดคือ “ลูกพรุนแห้ง” หรือ “ลูกพรุนอบแห้ง” โดยสูงกว่าลูกเกด ส้ม แอปเปิ้ล ลูกแพร์ เกรปฟรุต บลูเบอร์รี ฯลฯ[4]
  2. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เนื่องจากลูกพรุนมีสารคริปโตคลอโรจีนิกในปริมาณมาก ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ซึ่งงานวิจัยของ Tufts University in Boston ระบุให้พรุนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นอันดับ 1 โดยวัดจากค่า ORAC ของพรุน มี 5,770 หน่วย ต่อกรัม และยังสูงเป็น 2 เท่าของผลไม้ที่มีค่า ORAC อันดับต้นๆ[3]
  3. ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันดีเอ็นเอถูกทำลาย ช่วยลดการอักเสบและช่วยป้องกันมะเร็ง ด้วยการยับยั้งการกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็ง เพราะพรุนมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดและมีอยู่ในปริมาณมาก มีธาตุเหล็กและวิตามินเอ และมีปริมาณของสารโพลีฟีนอลสูงถึง 282-922 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งสารโพลีฟีรอลที่พบมากในลูกพรุนคือ กรดไฮดรอกซีซินนามิก ที่อยู่ในรูปของกรดนีโอคลอโรเจนิก และกรดคลอโรจีนิก นอกจากนี้ยังมีโปรแอนโธไซยานิดิน และฟลาโวนอยด์พิกเมนต์ ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์จากลูกพรุนเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งได้เป็นอย่างดี[3]
  4. ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ช่วยรักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยป้องกันไขมันไม่ให้ถูกทำลาย เนื่องจากเซลล์เมมเบรน เซลล์สมอง และโมเลกุลของคอเลสเตอรอลล้วนประกอบไปด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่ ที่ง่ายต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ[3]
  5. ลูกพรุนอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่มีความสำคัญในสร้างเม็ดเลือด ช่วยบำรุงเลือด ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แก้อาการอ่อนเพลีย สมาธิสั้น การเรียนรู้ลดลง และช่วยในการดูดซึมของธาตุต่างๆ ในร่างกาย และยังช่วยในเรื่องของภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดไปกับประจำเดือนด้วย[3],[4]
  6. ลูกพรุนมีวิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ในร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ยืดอายุของเม็ดเลือดแดง[5]
  7. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด (LDL)และช่วยลดระดับความดันโลหิต จึงให้ประโยชน์ต่อหลอดเลือดหัวใจ จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี[3],[5]
  8. พรุนมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำมาก จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้เป็นเบาหวาน และยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าพรุนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้[3] แม้ว่าลูกพรุนจะมีความหวาน โดยประกอบไปด้วยน้ำตาลหลายชนิด เช่น ฟรุคโตต ซอร์บิทอล แต่ก็ไม่ทำให้ระดับของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างเร็ว[5]
  9. การรับประทานลูกพรุนเป็นประจำในปริมาณมากจะช่วยในการลดน้ำหนักได้ เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ มีแคลอรีน้อย และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ[3] อีกทั้งยังเส้นใยอาหารจำนวนมาก ที่เป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และชนิดที่ลำลายน้ำไม่ได้ ที่มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้[5]
  10. ผลไม้ที่มีสีแดง-ม่วง เช่น แอปเปิ้ล องุ่น สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี รวมไปถึงลูกพรุน จะเข้าไปช่วยบำรุงการทำงานของเซลล์สมอง หากใครอยากฉลาดก็ให้รับประทานผลไม้ที่มีสีนี้กันเยอะๆ[3]
  11. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เพราะลูกพรุนมีวิตามินอีและแร่ธาตุที่ช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อยามเครียด[4]
  12. พรุนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม การรับประทานลูกพรุนจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้[3]
  13. ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น เนื่องจากลูกพรุนมีวิตามินที่ช่วยบำรุงตาในส่วนของจอรับภาพ และยังมีวิตามิบีที่ช่วยบำรุงเส้นประสาทที่เลี้ยงลูกตา[4],[5]
  14. ช่วยเสริมสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง[2],[3] ช่วยทำให้กระดูกผุช้าลง โดยพบว่าสตรีที่รับประทานลูกพรุนแห้งวันละ 1 ขีด ต่อติดกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการสร้างมวลมากขึ้นอย่างชัดเจน[4]
  15. ช่วยป้องกันอาการท้องผูก เพราะพรุนมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารและมีฤทธิ์ในการระบายท้อง จึงช่วยบำบัดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย[3],[4]
  16. ลูกพรุนอุดมไปด้วยโพแทสเซียม วิตามินอี ธาตุเหล็ก และเส้นใยอาหาร ที่ทำช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผิวพรรณดูสดใส ทำให้ผิวพรรณดูเนียนนุ่มชุ่มชื้นไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร จึงช่วยคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะเมื่อคนเราเมื่อช่วงสดใสของชีวิต คือช่วงอายุประมาณ 25 ปี ร่างกายจะเสื่อมโทรมลง ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มก็จะเริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณก็เริ่มซีดโทรม ไขมันก็เริ่มเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุนจะช่วยดูในเรื่องนี้ได้[3],[5]
  17. ลูกพรุนมีวิตามินบี2 ที่นอกจากจะช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังช่วยในกระบวนการสร้างและช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนัง เล็บและผม[5]
  18. สำหรับผู้ที่เป็นตะคริวบ่อยๆ ควรรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยหนึ่งในผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียมนั้นก็คือ “ลูกพรุน[3]
  19. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนของสตรี เพราะลูกพรุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่เป็นตัวช่วยควบคุมฮอร์โมนให้เป็นปกติและช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ต้องรับประทานก่อนมีอาการปวดประจำเดือนประมาณ 1-2 วัน[4]
  20. ช่วยลดอาการอักเสบและอาการเจ็บปวดต่างๆ[4]

ลูกไหนแดง

ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลัม

  • สำหรับคนทั่วไป ลูกพรุนหรือน้ำลูกพรุนมีฤทธิ์เป็นยาระบาย การรับประทานครั้งละมากๆ อาจทำให้ท้องเสียได้ ดังนั้นควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม คือครั้งละประมาณ 15-30 cc.[5]
  • สำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานลูกพรุนในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะลูกพรุนเป็นผลไม้ที่ช่วยให้ขับถ่ายง่าย อาจทำให้ถ่ายเยอะและส่งผลให้มดลูกบีบตัว กระตุ้นให้ลูกน้อยคลอดเร็วกว่ากำหนด[3]
  • น้ำลูกพรุนเข้มข้น จะค่อนข้างอันตรายสำหรับเด็ก และไม่แนะนำให้เด็กรับประทาน เนื่องจากมีแร่ธาตุสูงจนเกินไปสำหรับเด็ก และจะไปกระตุ้นระบบขับถ่าย เพราะขนาดผู้ใหญ่ที่กินแล้วก็จะมีฤทธิ์คล้ายกับยาถ่ายเลยทีเดียว แต่ถ้าลูกน้อยท้องผูกจริงๆ ก็ให้ใช้น้ําลูกพรุน 1 ส่วน ผสมกับน้ำต้มสุก 1 ส่วน และให้ลูกกินประมาณ 1 ช้อนชา (สำหรับเด็กที่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไป) และขอย้ำว่าต้องใช้ในกรณีที่มีอากาท้องผูกจริงๆ เท่านั้น[3]
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต หรือผู้ที่ต้องล้างไตอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงผู้ที่มีอาการถ่ายเหลว หรือมีอาการของลำไส้ที่ไม่ปกติ ห้ามรับประทานลูกพรุนเป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้อาการที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น เพราะลูกพรุนมีโพแทสเซียมสูง ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้แบบที่ควรจะเป็น จึงทำให้โพแทสเซียมคั่งในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า หัวใจเต้นอย่างผิดปกติ และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้[4]

ลูกไหน

ศูนย์ควบคุมประสาท

สมอง (Brain)

เป็นอวัยวะที่สำคัญ, ซับซ้อนที่สุดของระบบประสาท และมีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่น ๆ มีรอยหยัก (Convolution) เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการคิดและการจำ สมองแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นนอก มีเนื้อสีเทา เป็นที่รวมของตัวเซลล์ประสาทและ axon ชนิด non-myelin sheath และชั้นใน มีสีขาวเป็นสารพวกไขมัน ตัวเซลล์ประสาทมี Myelin sheathe หุ้ม

สมองของคนแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ สมองส่วนหน้า (Forebrain) สมองส่วนกลาง (Midbrain) และสมองส่วนท้าย (Hindbrain)

Froebrain แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ

– เซรีบรัม (Cerebrum) สมองส่วนหน้าสุด ขนาดใหญ่ที่สุด และเจริญมากที่สุด มีหน้าที่เก็บข้อมูล ความจำ ความคิด ศูนย์รับความรู้สึก มองเห็น ได้ยิน กลิ่น รส สัมผัส และควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ

– ทาลามัส (Thalamus) ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมกระแสประสาท แล้วแยกกระแสประสาทส่งไปยังสมองที่เกี่ยวข้องกับกระแสประสาท เป็นสถานีถ่ายทอดกระแสประสาทจากหู ตา ไปยังเซรีบรัม และรับข้อมูลจากเซรีบรัมส่งไปยังเซรีเบลลัมและเมดัลลาออบลองกาตา

– ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) เป็นส่วนล่างสุด เป็นรูปกรวยยื่นไปข้างล่าง ปลายสุดเป็นต่อมใต้สมอง โดยสร้างฮอร์โมนประสาทหลายชนิดไปควบคุมการสร้างฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง มีหน้าที่ควบคุมกระบวนการพฤติกรรมของร่างกาย ไฮโพทาลามัสเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างระบบประสาทกับระบบต่อมไร้ท่อ

Midbrain มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของนัยน์ตา ทำให้ลูกตากลอกไปมาได้ ควบคุมการปิดเปิดของม่านตาในเวลาที่มีแสงสว่างเข้ามามากหรือน้อย

Hindbrain แบ่งเป็น 2 ส่วน

– เซรีเบลลัม (cerebellum) เป็นสมองส่วนที่ควบคุมการทรงตัวและควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลายสัตว์ที่เคลื่อนที่ 3 มิติ มีสมองส่วนนี้เจริญดี

– เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างสมองกับไขสันหลัง มีรูปร่างคล้ายไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองกับไขสันหลัง มีหน้าที่ควบคุมอวัยวะภายในและควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ สัตว์ชนิดใดมีอัตราระหว่างนํ้าหนักสมองต่อนํ้าหนักตัว มากจะฉลาดเรียนรู้ได้ดี

Brain stem ประกอบด้วย Midbrain, เซรีเบลลัมมีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร การหลั่งนํ้าลาย การเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้า และควบคุมการหายใจ และMedulla oblongata

 

ไขสันหลัง (Spinal cord) 
เป็นเนื้อเยื่อประสาทที่มี synapse มากที่สุด มีหน้าที่เป็นศูนย์เชื่อมระหว่าง receptor (หน่วยรับความรู้สึก) และ effector (หน่วยปฏิบัติงาน), ทางผ่านระหว่าง nerve impulse ระหว่างไขสันหลังกับสมอง, ศูนย์กลางการเคลื่อนไหว (simple reflex) ที่ตอบสนองการสัมผัสทางผิวหนัง

 

คนเตี้ยที่สุดในโลก

กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วครับสำหรับเรื่องราวความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ ยังคงเดินหน้าค้นหาเรื่องราวที่มีความเป็นที่สุดสุดยอด ทั้งแปลกและหายาก เป็นสถิติโลกที่หลายคนให้ความสนใจมาฝากกันอยู่เสมอ และเรื่องราวของเราในวันนี้อาจจะมาช้าไปซักนิดแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องของความเป็ฯที่สุดในโลกที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมานี้เองครับ และ่นาสนใจไม่น้อยเลยกับสถิติใหม่ที่เกิดขึ้นของสาวชาวอินเดียคนนี้ กับการทุบสถิติโลกเป็นคนที่เตี้ยที่สุดในโลก คนใหม่นั่นเอง

นางสาวชโยตี แอมกี นักเรียนชั้นมัธยม วัย 18 ปี ในเมือง นาคปุระ  ได้รับการบันทึกสถิติจากกินเนสท์ เวิลด์ เรคคอร์ดว่าเป็นผู้หญิงที่มีร่างกายเตี้ยที่สุดในโลกเท่าที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยมีความสูงเพียงแค่ 60 เซ็นติเมตรเท่านั้น ซึ่งทำลายสถิติเดิมของนางบริดเจต จอร์แดน ชาวรัฐอิลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีความสูง 69.49 เซ็นติเมตร นับว่าสาวน้อยชาวอินเดียคนนี้เป็นที่เตี้ยะที่สุดในโลกที่พบคนล่าสุดและถูกบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ               ที่มาจาก:www.ที่สุดในโลก.com